It Follows (2015)
กำกับโดย David Robert Mitchell
8.5/10
(ดูจากเมืองนอกแล้วมารีวิว ไม่สปอยล์)
เรื่องนี้ราวกับเป็นเกม Where’s Waldo? เวอร์ชั่นหนังสยองขวัญเลยทีเดียว
หลังจากมีอะไรกับแฟนใหม่ เจย์ (แสดงโดย ไมก้า มอนโร จากเรื่อง The Guest) พบว่าเธอกำลังถูกไล่ล่าโดย...บางสิ่ง ที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่มองเห็น บางสิ่งนี้สามารถกลายเป็นร่างใครก็ได้ แม้แต่คนที่เธอรู้จัก มันจะเดินช้าๆตรงเข้ามาหาเธอเพื่อพยายามฆ่า ความช้านี้ทำให้สามารถวิ่งหนีมันได้โดยง่าย แต่ปัญหาคือมันจะมาเรื่อยๆ ตลอดเวลา อย่างไม่มีวันหยุดยั้ง วิธีเดียวที่จะกำจัดคือมีเซ็กซ์กับคนอื่นเพื่อส่งต่อ “มัน” ให้ไปตามคนนั้นแทน แต่ว่าหากคนนั้นถูกฆ่าแล้ว “มัน” จะกลับมาตามเธอเหมือนเดิม
หมัดฮุคหนังสยองขวัญเด็ดอย่างนี้ แต่ผู้กำกับ David Robert Mitchell ยังควบคุมการใช้มันอยู่มากๆ เอาเข้าจริง It Follows ไม่ได้รู้สึกเป็นหนังสยองขวัญที่ฟีลเมนสตรีมเท่าไรนัก มันไม่ค่อยมีความเป็นสวนสนุกตีลังกาเหาะ (แม้ขนาดเทียบกับอันที่ดราม่าแล้วอย่าง The Babadook ก็ตาม) เพื่อนที่ไปด้วยพูดถึงว่า นอกจาก John Carpenter ยุคก่อนหนังก็ยังได้ฟีล Kubrick อยู่นิดนึงด้วย ซึ่งส่วนตัวไม่เห็นไปขนาดนั้น แต่ความนิ่งอดทนของหนังกับทักษะแน่นๆของผู้กำกับก็ทำให้เข้าใจว่าทำไมคนจะคิดแบบนั้นอยู่
ในแง่หนึ่ง การเล่าจังหวะช้าหน่อยของหนัง (ที่แปรเป็นบรรยากาศแฮงค์เอ้าวัยรุ่นในกลุ่มเพื่อนนางเอกอยู่หลายที) อาจทำให้คนที่ชินกับหนังสยองที่เลือดพุ่งพล่านหน่อย นั่งไม่ติดได้ แต่ในขณะเดียวกัน วิธีนี้เปิดโอกาสให้เราใช้เวลากับกลุ่มนางเอกจนผูกพันด้วยได้ และยังปล่อยให้ ผกก.มีเวลาค่อยๆสร้างฉากระทึกที่ทั้งมุมกล้องและดนตรีผสมเข้าด้วยกันได้ลงตัวมากๆ (มีฉากหนึ่งที่กลุ่มนางเอกอยู่ในตึก แล้วกล้องหมุน 360 องศาอยู่หลายรอบ โดยแต่ละรอบที่หมุน คนดูจะเห็นว่า “มัน” กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆจากข้างนอกตึก) พร้อมองค์ประกอบภาพที่เกือบๆจะ expressionistic เลยทีเดียว
ผกก.ยังใช้ความเป็น widescreen ของหนังได้อย่างเต็มที่ ด้วยการจัดองค์ประกอบภาพให้คนดูต้องคอยเกร็ง สแกนจอ และเสาะหาในเฟรมว่าคนไหนกำลังเดินเข้ามาหากล้องด้วยความช้าไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจแฝงอยู่ตามฝูงคนหรือในสภาพแวดล้อมก็ได้
แต่สุดท้ายนี้ สิ่งที่ดีงามที่สุดในหนังสำหรับผมคือ soundtrack ของวง Disasterpeace นั่นเอง ซึ่งนอกจากสไตล์รีโทรของหนังแล้ว ทำให้เข้าใจเลยว่าทำไมหลายรีวิวเอาหนังไปเปรียบเทียบกับหนังสยองของ John Carpenter ในยุค 70s-80s เพราะแอมเบี้ยน electronic ลอยๆเรียกความลึกลับ สลับกับเสียงดนตรีกรีดๆทำขวัญกระจายในฉากสยอง ฟังแล้วนี่มันระดับน้องๆสกอร์ Halloween เลยทีเดียว (ท่อน
https://www.youtube.com/watch?v=7dwvCkaTBz0&feature=player_detailpage#t=60 มาเมื่อไรเตรียมเกร็ง) คงหาสกอร์อื่นมาปราบตำแหน่งสกอร์แห่งปีได้ยาก เหมือนที่ปีที่แล้ว Under the Skin เป็นสกอร์แห่งปีสำหรับผมเหมือนกัน
ติดตามรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่
www.facebook.com/themoviemood ครับ
[CR] [Movie Review] It Follows (2015) ...หนังสยองขวัญตามล่าชั้นเยี่ยม ที่ให้คนดูได้ร่วมมองหาปีศาจในจอพร้อมตัวละคร
กำกับโดย David Robert Mitchell
8.5/10
(ดูจากเมืองนอกแล้วมารีวิว ไม่สปอยล์)
เรื่องนี้ราวกับเป็นเกม Where’s Waldo? เวอร์ชั่นหนังสยองขวัญเลยทีเดียว
หลังจากมีอะไรกับแฟนใหม่ เจย์ (แสดงโดย ไมก้า มอนโร จากเรื่อง The Guest) พบว่าเธอกำลังถูกไล่ล่าโดย...บางสิ่ง ที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่มองเห็น บางสิ่งนี้สามารถกลายเป็นร่างใครก็ได้ แม้แต่คนที่เธอรู้จัก มันจะเดินช้าๆตรงเข้ามาหาเธอเพื่อพยายามฆ่า ความช้านี้ทำให้สามารถวิ่งหนีมันได้โดยง่าย แต่ปัญหาคือมันจะมาเรื่อยๆ ตลอดเวลา อย่างไม่มีวันหยุดยั้ง วิธีเดียวที่จะกำจัดคือมีเซ็กซ์กับคนอื่นเพื่อส่งต่อ “มัน” ให้ไปตามคนนั้นแทน แต่ว่าหากคนนั้นถูกฆ่าแล้ว “มัน” จะกลับมาตามเธอเหมือนเดิม
หมัดฮุคหนังสยองขวัญเด็ดอย่างนี้ แต่ผู้กำกับ David Robert Mitchell ยังควบคุมการใช้มันอยู่มากๆ เอาเข้าจริง It Follows ไม่ได้รู้สึกเป็นหนังสยองขวัญที่ฟีลเมนสตรีมเท่าไรนัก มันไม่ค่อยมีความเป็นสวนสนุกตีลังกาเหาะ (แม้ขนาดเทียบกับอันที่ดราม่าแล้วอย่าง The Babadook ก็ตาม) เพื่อนที่ไปด้วยพูดถึงว่า นอกจาก John Carpenter ยุคก่อนหนังก็ยังได้ฟีล Kubrick อยู่นิดนึงด้วย ซึ่งส่วนตัวไม่เห็นไปขนาดนั้น แต่ความนิ่งอดทนของหนังกับทักษะแน่นๆของผู้กำกับก็ทำให้เข้าใจว่าทำไมคนจะคิดแบบนั้นอยู่
ในแง่หนึ่ง การเล่าจังหวะช้าหน่อยของหนัง (ที่แปรเป็นบรรยากาศแฮงค์เอ้าวัยรุ่นในกลุ่มเพื่อนนางเอกอยู่หลายที) อาจทำให้คนที่ชินกับหนังสยองที่เลือดพุ่งพล่านหน่อย นั่งไม่ติดได้ แต่ในขณะเดียวกัน วิธีนี้เปิดโอกาสให้เราใช้เวลากับกลุ่มนางเอกจนผูกพันด้วยได้ และยังปล่อยให้ ผกก.มีเวลาค่อยๆสร้างฉากระทึกที่ทั้งมุมกล้องและดนตรีผสมเข้าด้วยกันได้ลงตัวมากๆ (มีฉากหนึ่งที่กลุ่มนางเอกอยู่ในตึก แล้วกล้องหมุน 360 องศาอยู่หลายรอบ โดยแต่ละรอบที่หมุน คนดูจะเห็นว่า “มัน” กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆจากข้างนอกตึก) พร้อมองค์ประกอบภาพที่เกือบๆจะ expressionistic เลยทีเดียว
ผกก.ยังใช้ความเป็น widescreen ของหนังได้อย่างเต็มที่ ด้วยการจัดองค์ประกอบภาพให้คนดูต้องคอยเกร็ง สแกนจอ และเสาะหาในเฟรมว่าคนไหนกำลังเดินเข้ามาหากล้องด้วยความช้าไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจแฝงอยู่ตามฝูงคนหรือในสภาพแวดล้อมก็ได้
แต่สุดท้ายนี้ สิ่งที่ดีงามที่สุดในหนังสำหรับผมคือ soundtrack ของวง Disasterpeace นั่นเอง ซึ่งนอกจากสไตล์รีโทรของหนังแล้ว ทำให้เข้าใจเลยว่าทำไมหลายรีวิวเอาหนังไปเปรียบเทียบกับหนังสยองของ John Carpenter ในยุค 70s-80s เพราะแอมเบี้ยน electronic ลอยๆเรียกความลึกลับ สลับกับเสียงดนตรีกรีดๆทำขวัญกระจายในฉากสยอง ฟังแล้วนี่มันระดับน้องๆสกอร์ Halloween เลยทีเดียว (ท่อน https://www.youtube.com/watch?v=7dwvCkaTBz0&feature=player_detailpage#t=60 มาเมื่อไรเตรียมเกร็ง) คงหาสกอร์อื่นมาปราบตำแหน่งสกอร์แห่งปีได้ยาก เหมือนที่ปีที่แล้ว Under the Skin เป็นสกอร์แห่งปีสำหรับผมเหมือนกัน
ติดตามรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่ www.facebook.com/themoviemood ครับ